มลพิษทางน้ำ
Ø ท่านทั้งหลายรู้ไหม?...ว่าแม่น้ำหลายสายที่เราเคยใช้อุปโภค บริโภคมาหลายชั่วอายุคน ทุกวันนี้แม่น้ำเหล่านั้นไม่เหลือร่องรอยของสภาพเดิม จากที่เคยใสสะอาดกลับดำคล้ำและมีกลิ่นเหม็น รวมทั้งมีสารอันตรายปะปนจนไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้อีกต่อไป
Ø น้ำเสีย.....เกิดขึ้นจากกิจกรรมของมนุษย์ เราสามารถพบเห็นการก่อน้ำเสียได้โดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น การปล่อยน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม ชุมชน ฟาร์มปศุสัตว์ การทำเกษตร การทำเหมืองแร่ และคราบน้ำมันจากเรือหางยาวในแม่น้ำ เป็นต้น
Ø มลพิษทางน้ำ....มีการระบายหรือทิ้งสิ่งสกปรกลงไปในน้ำมากเกินไป จนทำให้แหล่งน้ำนั้นไม่สามารถฟอกตัวเอง (Self Purification) ได้ทันตามธรรมชาติ.....น้ำจึงเน่าเสีย
นิยาม
Ø น้ำเสีย (Wastewater) ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 หมายความว่า ของเสียที่อยู่ในสภาพเป็นของเหลว รวมทั้งมลสารที่ปะปนและปนเปื้อนอยู่ในของเหลวนั้น
Ø น้ำเสีย หมายถึง น้ำที่มีสารใดๆ หรือสิ่งปฏิกูลที่ไม่พึงปรารถนาปนอยู่ การปนเปื้อนของสิ่งปรกเหล่าน้ำ จะทำให้คุณสมบัติของน้ำเปลี่ยนแปลงไปจนอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ประโบชน์ได้ สิ่งปนเปื้อนที่อยู่ในน้ำเสียได้แก่ น้ำมัน ไขมัน ผงซักฟอก สบู่ ยาฆ่าแมลง สารอินทรีย์ที่ทำให้เกิดการเน่าเหม็นและเชื้อโรคต่างๆ
Ø น้ำเสีย : น้ำที่ผ่านการนำไปใช้ประโยชน์ในกิจกรรมต่างๆ เช่น ครัวเรือน โรงงานอุตสาหกรรม การเกษตรและกสิกรรม เป็นต้น
Ø น้ำเสีย จึงมีส่วนประกอบต่างๆ ที่มาจากกิจกรรมซึ่งเป็นแหล่ะกำเนิดของมัน สิ่งที่อยู่ในน้ำเสียเป็นสารต่างๆ ที่มาจากวัตถุดิบและผลิตผลที่เกิดขึ้น เช่น อุตสาหกรรมอาหารจะให้น้ำเสียที่มีสารอินทรีย์ ส่วนอุตสาหกรรมชุบโลหะให้น้ำเสียที่มีโลหะหนักต่างๆ เป็นต้น หรือของเสียที่อยู่ในสภาพที่เป็นของเหลว รวมทั้งมลสารที่ปะปนหรือปนเปื้อนในของเหลวนั้น ที่ถูกปล่อยทิ้ง หรือ ถูกปล่อยออกมาจากแหล่งกำเนิด เช่น โรงงานอุตสาหกรรม น้ำล้างคอกปศุสัตว์ น้ำทิ้งจากชุมชน เป็นต้น
น้ำเสีย หรือ มลพิษทางน้ำ
อาจแยกเป็นประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
Ø น้ำเน่า ได้แก่ น้ำที่มีสารอินทรีย์ปะปนอยู่มาก จุลินทรีย์ใช้ออกซิเจนในการย่อยสลายจนเหลือละลายอยู่น้อย น้ำมีสีดำคล้ำ และอาจส่งกลิ่นเหม็น เนื่องจากการปล่อยก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) จากการย่อยสลายของแบคทีเรียชนิดที่ไม่ใช้ออกซิเจน (anaerobic bacteria)
Ø น้ำขุ่นข้น ได้แก่ น้ำที่มีสารแขวนลอย สารละลาย รวมทั้งสารอินทรีย์ เจอปนอยู่จำนวนมาก ทำให้น้ำมีสีเปลี่ยนไปจากเดิม เช่น สีดำ สีแดง สีเขียว หรือสีเทา เป็นอะปสรรคต่อการนำมาใช้ประโบชน์ในการสังเคราะห์แสงของพืชน้ำและการดำรงชีวิตของสัตว์
Ø น้ำร้อน ได้แก่ น้ำที่ได้รับการถ่ายเทความร้อนจากน้ำทิ้ง จนมีอุณหภูมิสูงกว่าที่ควรจะเป็นตามธรรมชาติ ส่วนมากเกิดจากการระบายน้ำหล่อเย็น จากโรงงานอุตสาหกรรมลงสู่แหล่งน้ำ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิต และการแพร่พันธุ์ของสัตว์น้ำ และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ โดยทำให้ออกซิเจนละลายในน้ำน้อยลง
Ø น้ำที่มีคราบน้ำมัน ได้แก่ น้ำที่มีน้ำมันหรือไขมันเจือปนอยู่มากจนเป็นอุปสรรคต่อการถ่ายเทออกซิเจนลงสู่แหล่งน้ำ หรือการดำรงชีวิตของสัตว์และพืชน้ำ ส่วนมากเกิดจากการปล่อยน้ำเสียจากชุมชนลงสู่แหล่งน้ำ การอุตสาหกรรมและการขนส่งทางน้ำØ น้ำเป็นพิษ ได้แก่ น้ำที่มีสารเป็นพิษเจือปนอยู่ในระดังที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตมนุษย์และสตว์น้ำ เช่น สารประกอบของปรอท ตะกั่ว แคดเมียม สารหนู เป็นต้น โลหะหนักมักสะสมอยู่ในห่วงโซ่อาหาร เมื่อมนุษย์บริโภคเข้าไปโดยตรงหรือโดยอ้อม เช่น บริโภคผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ก็จะเข้ามาสะสมในร่างกายทำให้เกิดอันตรายได้
Ø น้ำที่มีเชื้อโรค , หรือจุลินทรีย์ ได้แก่ น้ำที่มีเชื้อโรคที่ทำให้เกิดโรคทางเดินอาหาร โรคตับ โรคระบบการหมุนเวียนของเลือด โรคพยาธิและโรคผิวหนังซึ่งได้แก่ เชื้อแบคทีเรีย ไวรัส พยาธิ โปรโตซัว เชื้อรา โดยอาจจะเข้าสู่ร่างกายโดยตรง หรือการบริโภคสัมผัสทางผิวหนัง หรือระบบการหายใจ
Ø น้ำที่มีกัมมันตภาพรังสี ได้แก่ น้ำที่มีสารกัมมันตรังสีเจือปนอยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ โดยที่สารกัมมันตรังสี อาจเกิดขึ้นได้จากธรรมชาติในการสลายตัวของแร่หินหรือเกิดจากโรงงานนิวเครียร์ปล่อยน้ำเสียลงสู่แหล่งน้ำ
น้ำกร่อย ได้แก่ น้ำที่ละลายเกลือในดิน หรือน้ำทะเลไหลซึม เข้ามาเจือปนจนน้ำเสื่อมคุณภาพไม่เหมาะสมในการใช้อุปโภค บริโภค หรือการเกษตรกรรม ในประเทศไทย เกิดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและริมฝั่งทะเลภาคใต้
ลักษณะของน้ำเสีย
1. ลักษณะน้ำเสียทางกายภาพ
v สี (COLOR) น้ำเสียจากชุมชนมักจะมีสีเทาปนน้ำตาลจางๆ ถ้าปล่อยทิ้งไว้จะเกิดปฏิกิริยาแบบไม่ใช้ออกซิเจน สีจะเริ่มเปลี่ยนเข้มขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดจะเป็นสีดำ พร้อมกับมีกลิ่นเหม็น โดยทั่วไปแล้ว สีดำของน้ำเสียเกิดจากการรวมตัวของก๊าซไข่เน่า กับธาตุโลหะที่มีอยู่ในน้ำเสีย เกิดเป็นโลหะซัลไฟด์ (METALLIC SULFIDES)
v กลิ่น (ODOR) กลิ่นในน้ำเสียนั้นโดยทั่วไปเกิดจากก๊าซ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นไฮโดรเจนซัลไฟด์ ซึ่งเกิดจากจุลินทรีย์ชนิดไม่ต้องการออกซิเจน (ANAEROBIC MICROORGANISM) กลิ่นของไฮโดรเจนซัลไฟด์เป็นดัชนีบ่งบอกการทำงานของระบบท่อน้ำเสีย ระบบบำบัดน้ำเสีย ตลอดจนระบบทิ้งตะกอน จำเป็นจะต้องพิจารณาถึงการควบคุมกลิ่นเพื่อให้สาธารณะยอมรับระบบเหล่านี้ด้วย
v ของแข็ง (SOLIDS) หมายถึง ปริมาณของสารต่างๆ ที่มีอยู่ในน้ำเสียทั้งในลักษณะที่ไม่ละลายน้ำ และละลายน้ำ (DISSOLVED SOLIDS) ของแข็งที่ไม่ละลายน้ำ มี อาทิ หลอดกาแฟ ผ้าอนามัย เศษอาหาร อุจจาระสิ่งปฏิกูลต่างๆ รวมทั้งจุลินทรีย์ ของแข็งบางชนิดที่มีน้ำหนักเบาละ แขวนลอยอยู่ในน้ำ (SUSPENDED) บางชนิดหนักและจมลงเบื้องล่าง (SETTLEABLE SOLIDS) ของแข็งที่ไม่ละลายน้ำนี้อรจนร้างปัญหาในการอุดตัน และถ้าปล่อยทิ้งในปริมาณมาก จะทำให้เกิดความสกปรก และตื้นเขินในลำน้ำธรรมชาติ ตลอดจนบดบังแสดงแดดส่องลงสู่ท้องน้ำ
2. ลักษณะน้ำเสียทางเคมี
v พีเอช (pH) เป็นค่าที่บอกถึงความเป็นกรดเป็นด่างของน้ำเสีย หากค่าพีเอชต่ำกว่า 7 น้ำจะมีสภาวะเป็นกรด ถ้าสูงกว่า 7 มีสภาวะเป็นด่าง โดยทั่วไปสิ่งมีชีวิตในน้ำหรือจุลินทรีย์ในถังบำบัดจะดำรงชีพ ได้ดีในสภาวะเป็นกลาง คือ พีเอชประมาณ 6-8 ค่าพีเอชที่สูงเกินไปหรือต่ำเกินไปจะทำให้ระบบนิเวศน้ำเสียหาย สัตว์และพืชน้ำไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ นอกจากนี้ยังทำให้น้ำมีฤทธิ์กัดกร่อนท่อหรือภาชนะได้
v สารอินทรีย์ (ORGANIC MATTER) ของเสียที่พบในปริมาณมากที่สุด และ เป็นสิ่งที่ทำให้เกิด ปัญหาในน้ำเสีย คือ สารอินทรีย์ เนื่องจากเมื่อปล่อยลงสู่แหล่งน้ำ สารอินทรย์จะถูกย่อยสลายจุลินทรีย์ ถ้าในน้ำมีออกซิเจนไม่พอ จะเกิดการย่อยสลายในสภาพไร้ออกซิเจน ทำให้เกิดการเน่าเสียขึ้น
- สารประกอบอินทรีย์ที่พบในน้ำเสีย คือ โปรตีน (40-60%) คาร์โบไฮเดรต (20-50%) ไขมัน (10%) ซึ่งมาจากสิ่งขับถ่าย และกิจกรรมการใช้น้ำของคนเช่น การชำระร่างกาย ประกอบอาหาร ซักล้าง ฯลฯ
- โปรตีนและคาร์โบไฮเดรตสามารถถูกจุลินทรีย์ย่อยสลายง่าย
- แต่ไขมันและน้ำมันจะถูกย่อยสลายโดยจุลินทรีย์ได้ยาก ซึ่งถ้าไม่มีการดักหรือแยกออกก่อนจะทำให้เกิดปัญหา คือ การอุดตันของท่อระบายน้ำ และเมื่อเข้าสู่ระบบบำบัดน้ำเสียจะไปรบกวนการทำปฏิกิริยาของจุลินทรีย์ และขัดขวางการถ่ายเทของออกซิเจนจากอากาศสู่น้ำ มีผลทำให้ออกซิเจนละลายน้ำมีน้อยลง
3. ลักษณะน้ำเสียทางชีววิทยา
v จุลินทรีย์ (MICROORGANISM) คือ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กๆ มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
- จุลินทรีย์เหล่านี้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้สารอินทรีย์ถูกย่อยสลาย เนื่องจากพวกสารอินทรีย์ต่างๆ ในน้ำเสียจะเป็นอาหารอย่างดีสำหรับพวกจุลินทรีย์ ซึ่งเป็นหลักสำคัญอย่างยิ่งในการเปลี่ยนน้ำเสียให้เป็นน้ำดี
- โดยขณะที่จุลินทรีย์กินพวกสาร อินทรีย์ สารอินทรีย์ในน้ำเสียจะลดลง และก็คือน้ำเสียจะค่อยๆ กลายสภาพเป็นน้ำดี
- นี่เป็นเพียงหลักกว้างๆ ที่ใช้กันอยู่ในระบบบำบัดน้ำเสีย ซึ่งปัญหายุ่งยากส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นกับระบบบำบัดน้ำเสีย มักจะเกี่ยวกับระบบน้ำเสียทางชีววิทยา (BIOLOGICAL TREATMENT) ปริมาณและจุลินทรีย์เหล่านี้ จะเป็นตัวชี้ให้ผู้ที่ทำหน้าที่ควบคุมหรือดูแลระบบบำบัดทราบ ถึงประสิทธิภาพการทำงานของระบบบำบัดน้ำเสียว่าดีหรือเลวได้
- แบคทีเรียชนิดโคลิฟอร์มใช้บ่งชีคุณภาพ
องค์ประกอบของน้ำเสีย
1. สารอินทรีย์ หมายถึง สารซึ่งมาจากสิ่งมีชีวิต ทั้งสัตว์และพืช มีธาตุคาร์บอนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ และอาจมีธาตุไฮโดรเจน และสารอนุพันธ์ของไฮโดรเจน-คาร์บอน เป็นองค์ประกอบร่วมอยู่ด้วย ตัวอย่างของสารอินทรีย์ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน ซึ่งสามารถถูกย่อยสลายได้โดยจุลินทรีย์ ปริมาณของสารอินทรีย์ในน้ำนิยมวัดด้วยค่า บีโอดี (Biochemical Oxygen Demand-BOD)
2. สารอนินทรีย์ ได้แก่ แร่ธาตุต่างๆ ที่อาจจะไม่ทำให้น้ำเน่าเหม็น แต่อาจจะเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต สารอนินทรีย์ที่จำเป็นต้องได้รับการบำบัดในกระบวนการบำบัดน้ำเสีย ได้แก่ ซัลไฟด์ ไนโตรเจน และ ฟอสฟอรัส กรด ด่าง โลหะ เป็นต้น
3. โลหะหนักและสารพิษอื่นๆ อาจอยู่ในรูปของสารอินทรีย์ หรือสารอนินทรีย์ก็ได้ นอกจากนี้ยังสามารถสะสมอยู่ในห่วงโซ่อาหาร จนเกิดเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต เช่น ปรอท โครเมียม ทองแดง
- ปกติจะอยู่ในน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม
- สารเคมีที่ใช้ในการกำจัดศัตรูพืชที่ปนมากับน้ำทิ้งจากการเกษตร
- เขตชุมชนอาจมีสารพิษ มาจากอุตสาหกรรมในครัวเรือนบางประเภท เช่น ร้านชุบโลหะ อู่ซ่อมรถ เป็นต้น
4. ไขมัน , น้ำมัน และ กรีส (Fat Oil and Grease) สารประกอบนี้เกิดจากการใช้น้ำมัน ไขมัน ขี้ผึ้ง จนกระทั่งถึงน้ำมันหล่อลื่น ซึ่งยังไม่มีกรรมวิธีการเก็บรวบรวมน้ำมันหล่อลื่นเหล่านี้สำหรับการขนส่งและการกำจัดอย่างถูกวิธี
· ส่วนน้ำมันและไขมันที่เกิดจากบ้านเรือน ร้านอาหาร และภัตตาคารต่างๆ จำเป็นต้องมีการสร้างบ่อดักไขมันเพื่อกำจัดไขมันใบเบื้องต้นก่อน
· สำหรับประเทศที่อากาศหนาว หากไม่มีการกำจัดไขมันในเบื้องต้น อาจก่อให้เกิดปัญหาท่ออุดตันและทำให้ท่อแตกได้ในที่สุด
· เมื่อ ปนเปื้อนกับน้ำจะลอยอยู่ตามผิวน้ำ ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการสังเกคราะห์แสงของพืชน้ำ พร้อมทั้งกีดขวาง การถ่ายเทของออกซิเจนลงสู่แหล่งน้ำ ทำให้ปริมาณออกซิเจนที่ละลายน้ำลดลงในที่สุด
5. ความร้อน ทำให้เกิดการแบ่งชั้น (Strastification) ของน้ำ เร่งปฏิริริยาการใช้ออกซิเจนของจุลินทรีย์ และลดระดับการละลายของน้ำออกซิเจนน้ำทำให้เกิดสภาพเน่าเหม็นขึ้นได้
· อุณหภูมิของน้ำที่เหมาะสม สำหรับในกระบวนการบำบัดน้ำเสียควรอยู่ประมาณ 25-35 องศาเซลเซียส
· ความร้อนของน้ำเสียทำให้จุลินทรีย์บางชนิดในถังย่อยสลายตายหรือเจริญเติบโตช้าลง และมีผลต่อประสิทธิภาพของระบบบำบัดน้ำเสียได้ความร้อน
· น้ำเสียเกิดจาก Condenser Boiler และขบวนการทำความร้อนอื่นๆ ดังนั้นจึงควรปรับอุณภูมิของน้ำเสียให้เหมาะสมก่อนปล่อยสู่ระบบบำบัด
6. ของแข็ง (Solids) หมายถึง สารที่เหลืออยู่เป็นตะกอนภายหลังจากที่ผ่านการระเหยด้วยไอน้ำ และทำให้แห้งที่อุณหภูมิ 103-105 องศาเซลเซียส
· ตะกอนที่เกิดขึ้นมีทั้งสารอินทรีย์และสารอนินทรีย์
· การตรวจวัดหาค่าของแข็งนี้ทำทั้งในน้ำดิบที่นำมาทำน้ำประปา น้ำทิ้งจากบ้านเรือน และจากแหล่งอื่นๆ ดังนั้นการตรวจวัดค่าของแข็งจึงมีหลายชนิด ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการนำไปใช้ สำหรับน้ำเสียจากแหล่งน้ำต่างๆ นั้น มักจะหาค่าของแข็งดังนี้
ü ของแข็งตกตะกอน (Settleable Solids) หมายถึง ของแข็งซึ่งจะนอนก้นเนื่องจากแรงโน้มถ่วงจำเพราะสูงกว่าน้ำเท่านั้น ค่าของแข็งตกตะกอนนี้นอกจากจะบอกค่าความสกปรกของน้ำแล้ว ยังใช้ประโยชน์ในการออกแบบถังตกตะกอน (Sedimentation Tank) ในระบบบำบัดน้ำเสียอีกด้วย
ü ของแข็งทั้งหมด (Total Solids) สำหรับการวิเคราะห์น้ำเสียประเภทต่างๆนั้นค่าของแข็ง ทั้งหมดมีความสำคัญน้อยมากเพราะยากที่จะแปรผลให้ได้ค่าที่แน่นอน ดังนั้นจึงนิยมบอกค่าความสกปรกของน้ำเสียด้วยค่า BOD และ COD อย่างไรก็ตาม ค่าของแข็งทั้งหมดสามารถใช้ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของน้ำเสียที่มีผลต่อการตกตะกอนได้
ü ของแข็งแขวนลอย (Suspended Solids) หมายถึง สารแขวนลอยในของเหลวซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับการวิเคาะห์น้ำเสียและเป็นค่าหนึ่งที่บอกถึงค่าความสกปรกของน้ำเสียนั้น ตลอดจนบอกถึงประสิทธิภาพของขั้นตอนการบำบัดน้ำเสียต่างๆ การหาค่าของแข็งแขวนลอยจึงมีความสำคัญเท่ากับค่า BOD
7. สีและความขุ่น เกิดจากอุตสาหกรรมประเภทสิ่งทอ กระดาษ ฟอกหนัง และโรงฆ่าสัตว์ สีและความขุ่นจะขัดขวางกระบวนการสังเคราะห์แสงในน้ำ
· ความขุ่น (Turbidity) เกิดจากสิ่งแขวนลอยในน้ำเช่น ตะกอนแขวนลอย แพลงค์ตอน และสิ่งมีชีวิตเล็กๆ สารพวกนี้จะทำให้เกิดการกระจัดกระจายและดูดซึมของแสงทะลุผ่าน ทำให้มีผลต่อขบวนการสังเคราะห์แสงของพืชน้ำ นอกจากนี้สารเคมีบางอย่างก็เป็นบ่อเกิดของความขุ่นได้เช่นกันเมื่อสัมผัสกับอากาศ เช่น เหล็ก และแมงกานีส หรืออาจจะเป็นแหล่งเจริญเติบโตของแบคทีเรียบางชนิด
· สี (Color) สีของน้ำตามธรรมชาติเกิดจากสารอินทีย์ต่างๆ เช่น ใบไม้ ใบหญ้า และซากสัตว์ ซึ่งมี ลิกนินเป็นองค์ประกอบ ส่วนสีของน้ำเสียจะใช้วัดระยะเวลาของน้ำเสียที่อยู่ในบ่อบำบัด (อายุของน้ำเสีย) โดยน้ำเสียที่เกิดขึ้นใหม่ๆ ส่วนใหญ่จะมีสีเทาปนน้ำตาลอ่อน และจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเทาแก่ และสีดำในที่สุด แต่บางอุตสาหกรรมมีการเติมสีลงในน้ำเสีย กรณีสีของน้ำเสียจะขึ้นอยู่กับซัลไฟด์ของโลหะหนักที่มีอยู่ในสีเหล่านั้น
8. กรดและด่าง (pH) การอ่านค่าความเป็นกรด-ด่าง มีช่วงตั้งแต่ 0-14 โดยสารละลายที่มีค่า pH ต่ำกว่า 7 เรียกว่า สารละลายเป็นกรด เท่ากับ 7 เยกว่า สารละลายเป็นกลาง (Neutral Solution) สูงกว่า 7 เรียกว่าสารละลายเป็นด่าง น้ำที่มีคุณภาพที่ดีจะต้องมีค่า pH ใกล้เคียง หรือ เท่ากับ 7 แต่ในทางปฏิบัติได้กำหนดมาตรฐานค่า pH ของน้ำทิ้งอยู่ในช่วง 5-9
9. จุลินทรีย์ (Microorganism) โดยทั่วไปสามารถแบ่งจุลินทรีย์ออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่ Eucaryotes , Eubacteria และ Archaebacteria โดยสองกลุ่มหลังนี้มักจะเรียกรวมกันว่า กลุ่ม Procaryotic ซึ่งมีแบคทีเรียเป็นองค์ประกอบและมีบทบาทสำคัญต่อการบำบัดน้ำเสีย ส่วนจุลิทนทรีย์ในกลุ่ม Eucaryotes ที่มีบทบาทสำคัญต่อการบำบัดน้ำเสียได้แก่ รา โปรโตซัว และสาหร่ายชนิดต่าง
10. สารกัมมันตรังสี (Radioactive Waste) หมายถึง สารใดๆ ที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์ต่อไปได้และปนเปื้อนด้วยกัมมันตรังสีในระดับที่มีความเสี่ยงต่ออันตรายของสุขภาพและสิ่งแวดล้อม สารกัมมันตรังสี นอกจากมีอันตรายสูงแล้ว บางชนิดยังคงสภาพได้ในระยะเวลายาวนานนับพันปี
· ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีวิธีการกักเก็บที่ปลอดภัย และแน่ใจว่าจะไม่รั่วไหลออกสู่สิ่งแวดล้อมภายนอกจนกว่าจะหมดสภาพไปเอง
· ตัวอย่างสารกัมมันตรังสีที่สำคัญได้แก่ Uranium Plutonium และ Thorium
· แหล่งกำเนินสารกัมมันตรังสีที่สำคัญในปัจจุบันได้แก่ แหล่งผลิตอาวุธนิวเคลียร์ โรงงานผลิตไฟฟ้า
นิวเคลียร์ เหมืองแร่ยูเรเนี่ยม และกากกัมมันตรังสี ที่เกิดจากกิจกรรมอื่นๆ อาทิ การแพทย์การ
วิจัย และการถนอมอาหาร เป็นต้น